วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

เกษรพลาซ่า

ศูนย์การค้า เกษรพลาซ่า

ศูนย์การค้า เกษรพลาซ่า
สถานที่ : เลขที่ 999 ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ                                                                      
เวลาทำการ : ทุกวัน 10:00 - 20:00 น.
การเดินทาง : รถไฟฟ้าสายสุขุมวิท - ชิดลม (261m)
รายละเอียด : เป็นศูนย์การค้าระดับพรีเมียม โดยมีสินค้าไฮ-แฟชั่นระดับโลก เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มีรายได้ระดับ upper-middle class ขึ้นไป ด้วยทำเลใจกลางเมืองที่ล้อมรอบด้วยโรงแรมหรู และพระพรหมเอราวัณ

        บนเนื้อที่ไม่ถึง 2 หมื่น ตร.ม. ภายในอาคาร 5 ชั้น ที่ประกอบด้วย 100 กว่าร้านค้า ที่ผ่านการเลือกเฟ้นอย่างมีคุณภาพ (tenant mix) เกษรจึงกลายเป็นศูนย์ที่ระดมแบรนด์แฟชั่นระดับพรีเมียมของโลกหลายแบรนด์ให้มาเปิด flagship store และ exclusive store พร้อมกับนำแบรนด์แฟชั่นชั้นนำของไทยมาร่วมเป็นตัวเลือกในศูนย์ แบรนด์ต่างๆ เหล่านี้ช่วยหล่อเลี้ยงความเป็นศูนย์การค้าพรีเมียมของเกษรให้เข้มข้นอยู่ตลอด

        นอกจาก Tenant Mix บรรยากาศความพรีเมียมของศูนย์การค้าเกษร ยังมาจากสถาปัตยกรรม การออกแบบภายใน และสเปซ (space) ที่มีความสูงจากเพดานตั้งแต่ 4.4-6.6 เมตร เอเทรียมตรงกลางเพิ่มแสงธรรมชาติ พื้นที่กว้างเพิ่มความสบายในการเดิน layout ที่ทำให้การไหลเวียนของลูกค้าเป็นไปได้สะดวก และความโปร่งที่ทำให้มองเห็นร้านต่างๆ จากทุกมุมในเกษร ฯลฯ

        บริการเป็นอีกองค์ประกอบที่สำคัญไม่แพ้ 2 ประการข้างต้นในการสร้างความพรีเมียมให้กับเกษร พนักงานคอนเชียร์จ (concierge service) เป็นเหมือน “ขุนพลเอก” ทางด้านบริการของเกษร โดยพนักงานคอนเชียร์จของเกษรจะเป็นสมาชิกของสมาคมคอนเชียร์จแห่งประเทศไทย ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของโรงแรม 5 ดาวชั้นนำในกรุงเทพฯ เพื่ออัพเดตข้อมูลใหม่ๆ ขณะที่เกษรยังถือโอกาสสร้างเครือข่ายในกลุ่มสมาชิกฯ ให้ช่วยแนะนำแขกของโรงแรมให้ไปช้อปปิ้งที่เกษร และด้วยความร่วมมือระหว่างกันก็จะยิ่งทำให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น

        คอนเซ็ปต์ "คอนเชียร์จ" ของเกษรถือเป็นการนำเอาบริการที่มีในโรงแรม 5 ดาวมาใช้ในศูนย์การค้าเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ทั้งนี้ พนักงานคอนเชียร์จต้องสื่อสารได้หลายภาษา พร้อมให้บริการทุกๆ ด้าน เช่น ให้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ติดต่อโรงแรม รับจองร้านอาหาร จองตั๋วเครื่องบิน บริการเรียกคนขับรถลีมูซีน ฯลฯ เกษรยังให้ความสำคัญกับ Valet parking บริการรับจอดรถและนำรถมาส่งคืนโดยพนักงาน ด้วยการส่งพนักงานไปฝึกอบรมจากทีมรถ BMW series7 เพื่อสร้างความมั่นใจว่ารถจะได้รับการดูแลอย่างดี

          เกษรร่วมกับค่ายเพลง Universal Music ผลิต “The sound of Gaysorn” ซีดีเพลงแห่งศูนย์การค้าเกษร โดยผู้บริหารเป็นคนคัดเลือกเพลงด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นเพลงฟังสบายๆ ผสมกับทำนองสนุกสะท้อนความเป็นศูนย์การค้าแบบเกษร เพื่อมอบให้ลูกค้า VIP กว่า 1,000 คน เช่น Dance till the Morning ของ Brazilian Girl

สินค้าและบริการ

-สินค้าแฟชั่นนานาชาติ
-เครื่องประดับ
-ของตอแต่งบ้าน
-สถานเสริมความงาม
-เครื่องสำอางค์

ร้านอาหาร

-Thannnative tea room

Thann Native Tea Room ร้านชาน่านั่ง     ที่เกษรพลาซ่า
Thann Native Tea Room ร้านชาน่านั่ง ที่เกษรพลาซ่า
Thann Native Tea Room ร้านชาน่านั่งที่เกษรพลาซ่า
  
       ถ้าจะเอ่ยถึง Thann และ Harnn หนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบการทำสปาน่าจะรู้จักกันดี วันนี้นอกจาก Thann จะให้บริการสปาแล้ว ยังมีบริการอาหารและชาคุณภาพดีตกแต่งร้านโดยเอาธรรมชาติของสวนแบบไทย กล้วยไม้ น้ำตก มาตกแต่งไว้ภายในร้าน เพิ่มความโมเดิร์นโดยนำกล่องกระดาษมาตัดเป็นรูปใบไม้ ประดับที่ฝาผนังทั่วร้าน เรียกว่าเป็นไอเดียที่บรรเจิดและไม่เหมือนใคร
THANN Native Tea Room

       ภายในร้านโดดเด่นด้วยการตกแต่งแบบเก๋ไก๋ เน้นโทนสีครีมที่ทำให้รู้สึกว่าหวานขึ้นมานิด เมื่อก้าวเข้ามาด้านในร้าน คุณจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของสมุนไพร และชานานาชนิด ลูกค้าส่วนใหญ่นิยมมารับประทานอาหารกลางวัน จิบน้ำชายามบ่าย หรือรับประทานอาหารมื้อเย็น ซึ่งบรรยากาศภายในร้านดูอบอุ่นและเป็นกันเอง...
THANN Native Tea Room
      อาหารของที่นี่ มีทั้งอาหารไทย อิตาเลียน และมีชาให้เลือกดื่มหลากหลายชนิด หรือถ้าจะซื้อชากลับไปเป็นของฝาก ทางร้านก็มีแพ็คเกจน่ารักๆ ให้เลือกซื้อมากมาย... ทีมงาน EDTguide มีโอกาสได้มา Review ร้านที่ถือว่า Hotที่สุดในศูนย์การค้าแห่งนี้ จึงไม่พลาดที่จะแนะนำอาหารดีๆ มาบอกต่อทุกคนค่ะ เริ่มกันด้วยจิบน้ำชาเพื่อเพิ่มความรู้สึกสดชื่นกันก่อนกับ ชาร้อนแบบชง (กลิ่นวานิลลา) ทานคู่กับ Lemon Cake
THANN Native Tea Room
       เมนู Vanilla+Lemon Cake ราคา 125 บาท มีเคล็ดที่ไม่ลับจะบอกนักชิมชาทุกคนว่า 3 นาทีของการชงชาร้อนที่จะได้รสชาติสมดุลและความอร่อย นั้นอยู่ที่เวลาในขวดแก้ว ที่เก๋ไก๋ ถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้นะเนี่ย! ได้กลิ่นหอมของชาทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และเลม่อนเค้กที่แสนหวาน แหม..อะไรมันจะลงตัวขนาดนี้! ถัดจากจิบชาแล้วลองเมนูอาหารทานเล่นๆ ในช่วงเวลาพักเบรก ของหนุ่มๆ สาวๆ อย่าง Spinach Samosa (เปาะเปี๊ยะปูแป้ง)
THANN Native Tea Room
       เมนูนี้ 190 บาท เปาะเปี๊ยะแป้งกรอบมากๆ จิ้มกับซอส Samosa ที่มีสีขาวตัดกับสีเขียวด้วยส่วนผสมของผักโขมแล้วก็เข้ากันได้ดี..ดีต่อสุขภาพล้วนๆ เลย และหากเป็นช่วงอาหารมื้อหลักทางร้านก็มีเมนูอาหารรสเลิศอย่างอาหารไทยที่เราแนะนำคือ Rice With Roasted Duck Red Curry (ข้าว+แกงเผ็ดเป็ดย่าง)
THANN Native Tea Room
       เมนูนี้ 200 บาท เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และแกงเผ็ดที่เน้นรสชาติที่จัดจ้าน เนื้อเป็ดย่างก็หอมและนุ่มลิ้น รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยห้าดาวเลยเชียว
หรือถ้าอยากเปลี่ยนมาลองอาหารอิตาเลียน ก็ลองสั่ง สปาเก็ตตี้ซีฟู้ด กันดูนะคะ
THANN Native Tea Room
       เมนู Spaghetti with Seafood ราคา 280 บาท ซีฟู้ดที่นี่เป็นหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์สดๆ ตัวโตๆ กุ้งก็ไม่น้อยหน้าตัวใหญ่โดดเด่น รสชาติของสปาเก็ตตี้เข้มข้น ถือว่าจัดจ้านแต่ชาวต่างชาติก็รับประทานได้แบบ OK. รับประทานอาหารกันแล้วก็จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ให้ชื่นใจกับน้ำผลไม้แบบไทยๆ อย่าง น้ำมะตูม กับน้ำตะไคร้ แค่นี้ก็อิ่มท้องแถมดีต่อสุขภาพด้วยนะคะ
THANN Native Tea Room
      THANN Native ที่นี่เป็นหนึ่งเรื่องชารวมไปถึงอาหารก็ไม่น้อยหน้า ตัวอย่างความหลากหลายของชาตั้งแต่ infusions แบบดั้งเดิมและน่ายินดี เช่น Lavender White วานิลลา ชาจัสมินและมิ้นต์ รวมถึงชาเขียวที่มีรสชาติไม่ซ้ำแบบ ที่นี่รวมเอาธรรมชาติที่ดีที่สุด รวมถึงการออกแบบร่วมสมัยมาไว้ในที่เดียว...เป็นการเพิ่มมิติใหม่และเพิ่มประสบการณ์รวมถึงความทรงจำของคนกรุงฯหรือต่างชาติให้หลงใหลในชาสมุนไพรไทย จนต้องมานั่งจิบน้ำชา เจรจาธุรกิจกันแบบชิลล์ๆ ที่เกษรพลาซ่านั่นเอง!! รายละเอียดเพิ่มเติมของร้าน http://www.edtguide.com/ThannNativeTeaRoom_433531    

 


-Butler's

Tim Butler เชฟมือรางวัลจากนิวยอร์ค เปิดตัวคาเฟ่สุดเก๋ Butler’s ที่เกษร


      ทิม บัทเลอร์ เชฟหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์จากมหานครนิวยอร์ค การันตีความสามารถด้วยรางวัล Dessert of the Year 2007 จากนิวยอร์คแมกกาซีน ได้บินตรงมาที่กรุงเทพฯ เปิดตัวคาเฟ่สุดชิค “Butler’s” (บัทเลอร์ส) ที่ชั้นล็อบบี้ ศูนย์การค้าเกษร นำเสนอคอนเซ็ปต์ Modern Western Cuisine ใช้วัตถุดิบเป็นแรงบันดาลใจในการคิดค้นเมนูใหม่ผนวกกับพรสวรรค์ของบัทเลอร์ในการจับคู่รสชาติใหม่ให้กำเนิดเมนูสุดครีเอทีฟไม่เหมือนใครแถมสร้างรสชาติที่แปลกแตกต่างอย่างลงตัว
 
      Butler’s นำเสนออาหารและของหวานสุดครีเอทีฟที่บัทเลอร์ได้แรงบันดาลใจจากวัตถุดิบต่างๆ รอบตัวทั้งจากไทยและเทศ ผสานเข้ากับศาสตร์และเทคนิคการปรุงอาหารชั้นสูงไม่จำกัดว่าเป็นสัญชาติใดซึ่งเป็นความสามารถพิเศษของบัทเลอร์ อาหารแต่ละจานจึงให้รสชาติแปลกใหม่ท้าทายนักชิมผู้พิศมัยอาหารสุดพิเศษ เช่น Foie Gras “Club” Sandwich ตับห่านปรุงด้วยไฟอ่อนเสิร์ฟบนขนมปังพร้อมสลัดผักมะเขือเทศและเนื้อมังคุดให้รสชาติหอมมันกลมกล่อมแต่สดชื่นด้วยเนื้อหวานของมังคุดและยังมีสรรพคุณช่วยดับร้อนอีกด้วย หรือจะเป็น Pink Snapper with Potato & Leek Confit ปลากระพงทอดกรอบเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่ง รากบัวทอดและต้นกระเทียมฝรั่งอบในน้ำซอสปรุงน้ำมัน
 

      นอกจากนี้ บัทเลอร์ยังหลงใหลในศาสตร์ของเพรสตรี้และขนมหวาน เขาค้นพบความอัศจรรย์ของส่วนผสมที่มีในเมืองไทยและนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ เมื่อบัทเลอร์ได้ลิ้มลองผลไม้ใหม่ๆ รวมถึงพืชสมุนไพรต่างๆ เขาก็ไม่รอช้าที่จะนำวัตถุดิบเหล่านั้นมาเป็นส่วนผสม เมนูขนมหวานของบัทเลอร์จึงให้รสชาติความเป็นไทย เช่น Thai Tea บัทเลอร์ชื่นชอบชาดำเย็นของคนไทยจึงนำมาทำเป็นกรานิเต้แล้วราดบนคัสตาร์ดนมข้นหวานกับมะม่วงสด ให้รสชาติที่เข้มข้น หอมหวานและสดชื่น และยังมีของหวานที่น่าลิ้มลองอีกมากมาย อาทิ Pineapple Carpaccio สัปปะรดแล่บางเสิร์ฟพร้อมครีมใบเตยและสาเก กรานิเต้นับเป็นการผสมผสานรสชาติที่แปลกใหม่ที่สุด หรือ Bread Pudding ขนมปังพุดดิ้งเนื้อนุ่มเสิร์ฟพร้อมมูสและฮาเซลนัท รสชาติหวานละมุนลิ้น หรือจะเป็น Cheesecake Modern ชีสเค้กรสซิทรัสหอมชื่นใจเสิร์ฟพร้อมเนื้อส้มและบิสกิตกรอบ เป็นต้น


 
      ทิม บัทเลอร์ เข้าสู่วงการอาหารระดับมืออาชีพเมื่ออายุได้เพียง 14 ปี เขาสำเร็จการศึกษาจาก Culinary Institute of America (CIA) ซึ่งเป็นสถาบันสอนทำอาหารชื่อดังในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นบัทเลอร์ก็ให้ความสนใจสายเพสตรี้และของหวาน บัทเลอร์ได้เดินทางไปทำงานทั่วสหรัฐอเมริกาเช่น Providence restaurant ที่ลอสแองเจลีส หรือ Aquavit restaurant ของ Marcus Samuelsson ในนิวยอร์ค และได้เคยร่วมงานกับมิเชลลินสตาร์เชฟดังระดับโลกอย่าง Daniel Boulud ที่ Restaurant Daniel เมื่อสมัยที่บัทเลอร์ทำงานอยู่ที่ Aquavit, Restaurant Daniel และ Alto บัทเลอร์ ได้ร่วมเขียนหนังสือสอนทำอาหารไว้หลายเล่มและได้รับรางวัลมากมาย เมื่อปี 2007 นิวยอร์ค แมกกาซีนได้ยกย่องผลงานของเขาว่าเป็น “Dessert of the Year” ด้วยผลงาน “Black Truffle Ice Cream Sundaeนักวิจารณ์ได้บรรยายในบทวิจารณ์ภัตตาคาร Alto ไว้กล่าวว่า “Black Truffle Ice Cream Sundae ของบัทเลอร์จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของผมก่อนจากโลกนี้ไป
 


       Butler’s ตั้งอยู่ที่ชั้นล็อบบี้ ศูนย์การค้าเกษร เปิดเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 น. - 20.00 น. โทร 0 2656 1107-8


http://www.oknation.net/blog/gaysorn/2008/09/04/entry-2
 


-Bar Italia

      ส่วนเมนูอร่อยน่าชิมประจำฉบับนี้จะขอเอาใจท่านที่ชื่นชอบรสชาติของอาหารอิตาเลี่ยนกันสักครั้ง ด้วยการพากันไปอิ่มอร่อยกับอาหารอิตาเลี่ยนนานาชนิดขนานแท้ในบรรยากาศแบบคลาสสิคกันที่ห้องอาหาร BAR ITALIA By Gie Gie” ซึ่งเปิดบริการกันมานานกว่า 2 ปี ตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์รวมเฟอร์นิเจอร์มีระดับ CDC ริมถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา แต่สำหรับท่านที่อยู่ยังต่างถิ่นไม่สะดวกที่จะมาลิ้มลองกันในย่านนี้ เขาก็ยังมีสาขาอื่นๆ อีกหลายแห่ง อาทิเช่น ที่เกษรพลาซ่า เซ็นทรัลเวิลด์ และที่เซ็นทรัลพัทยา สะดวกกันที่ไหนก็แวะไปกันได้ที่นั่น


 
      ที่ร้านนี้เขาจะตกแต่งร้านในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิคติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ผนังรอบร้านจะเป็นกระจกใสมองเห็นทัศนียภาพภายนอกได้ชัดเจนไม่อึดอัด ภายในร้านจะมีโซฟาร์นุ่มนิ่มแบบสบายๆ ให้เราได้เลือกนั่งเอนกายเรียงรายอยู่หลายมุมมอง ส่วนด้านนอกของร้านจะมีโต๊ะตั้งอยู่รอบร้านสำหรับท่านที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบโอเพ่นแอร์ ส่วนท่านที่เป็นคอไวน์..ขอบอกว่า..ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากที่นี่เขาจะมีอาหารรสเด็ดให้เราได้อิ่มอร่อยกันแล้ว..เขาก็ยังมี “ไวน์” รสเลิศจากทั่วทุกมุมโลกให้เราได้ดื่มด่ำ ในราคาเริ่มต้นที่แก้วละ 99 บาท++

 



      และจากการที่ได้พูดคุยกับ “คุณฌานิน เลาทองดี” หรือ “คุณกอล์ฟ” เศรษฐศาสตร์บัณฑิตหนุ่มซึ่งเป็นเจ้าของร้านได้บอกเล่าให้ “แม่ลิ้นจี่” ฟังว่า ด้วยความที่ชื่นชอบในด้านการทำอาหารหลังจากจบการศึกษาจึงได้เข้าทำงานเป็นเชฟนานกว่า 2 ปีในร้านอาหารของพี่เขยซึ่งเป็นชาวอิตาเลี่ยน จนสามารถปรุงอาหารอิตาเลี่ยนขนานแท้ได้มากมาย จากนั้นจึงออกมาเปิดร้านอาหารซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวมากมายหลายสิบแห่ง มีทั้งร้านอาหารไทย ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหารยุโรป และร้านในสไตล์ผับ โดยมีตนเองเป็นเจ้าของและผู้บริหาร พร้อมทั้งเป็นเชฟใหญ่คอยควบคุมสูตรเด็ดของทุกร้านในเครือ


      อาหารของร้าน BAR ITALIA” จะเป็นอาหารรสชาติอิตาเลี่ยนขนานแท้ ตกแต่งหน้าตาของอาหารในแบบฟิวชั่นฟู้ด มีอาหารจานเด็ดให้เลือกสั่งกว่า 100 ชนิดในเมนู สนนราคาก็ไม่แพง ถ้าเป็นอาหารแบบ “อะ ลา คาร์ท” ก็เริ่มต้นกันที่จานละ 120-360 บาท++ (บวกภาษี บวกเซอร์วิสชาร์ท) หรือถ้าเป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบในการปรุงจากต่างประเทศอย่างเช่น GOOSE LIVER SALAD” ก็จะอยู่ที่จานละ 790 บาท++ หรือ RIB EYE STEAK” จานละ 890 บาท++ หรือจะสั่งเป็นแบบ “เซ็ทเมนู” ราคาอยู่ที่เซ็ทละ 360 บาท++ ส่วนอาหารที่จะแนะนำกันในวันนี้จะเป็นแบบอะลาคาร์ทหรือตามสั่ง..เริ่มต้นจานแรกกันที่



 
       SPAGHETTI CORSARA...เขาจะใช้เส้นสปาเก็ตตี้จากอิตาลี่ต้มสุก ก่อนนำไปผัดกับมิกซ์ซอสสูตรอิตาเลี่ยน ครีมซอส ใส่กุ้ง ปลาหมึก หอยตลับ ผัดจนเข้ากันแบบแห้งๆ ความอร่อยอยู่ที่สปาเก็ตตี้เส้นเล็กเหนียวนุ่ม สารพัดสัตว์ทะเลเนื้อสดหวาน บวกกับรสชาติของมิกซ์ซอสรสเค็มนำหอมมัน ในราคาจานละ 390 บาท++




       ZUPPADI PESCE...หรือเรียกภาษาไทยว่าซุปซีฟู้ด เขาจะต้มเคี่ยวน้ำสต๊อกด้วยกระดูกปลาและผักนานาชนิดจนหอมหวานใส่มะเขือเทศ ก่อนนำสารพัดซีฟู้ดมี กุ้ง ปลาหมึก หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ หอยตลับ เนื้อปลาแซลมอน ลงไปต้มเคี่ยวในซุปปรุงรสออกเค็มมัน กินเคียงคู่กับขนมปังกระเทียมอร่อยแบบครบสูตร ในราคาที่ละ 290 บาท++



 
       PIADINA-ผักโขม-แฮม-ชีส... เขาจะนำแป้ง Tortillas ของอิตาเลี่ยนผสมน้ำทาบนกระทะร้อนๆ เป็นแผ่นกลมบาง ใส่ผักโขมผัดเนย แฮม และชีส รอจนแป้งสุกกรอบพับแผ่นแป้งเป็นครึ่งวงกลมพร้อมเสิร์ฟ ความอร่อยอยู่ที่แป้งบางเคี้ยวกินได้กรอบกรุบ บวกกับผักโขม แฮม และชีสรสเค็มมัน ในราคาจานละ 190 บาท++

 


      PIZZA HOMEMADE จานนี้จะเป็นพิซซ่าแบบสองหน้า เขาจะนำแป้งพิซซ่าแผ่นกลมบางโรยด้วยชีสจนทั่วแผ่น ด้านหนึ่งจะเป็นหน้าผักโขมกับเห็ด ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นหน้าเซลามี่ นำเข้าเตาอบจนแป้งและเครื่องปรุงสุกกำลังดีเสิร์ฟใส่ถาดมาร้อนๆ ความอร่อยอยู่ที่แป้งพิซซ่าฟูฟ่องเคี้ยวกินได้กรอบกรุบสนุกปาก บวกกับหน้าพิซซ่ารสชาติกลมกล่อมแบบทูอินวัน ในราคาถาดละ 290 บาท++
      นอกจากนี้ก็ยังพิซซ่าหน้าอื่นๆ แบบฉบับอิตาเลี่ยนขนานแท้ให้เลือกสั่งอีกมากมายในเมนู หรือดีไซน์หน้าเองตามใจชอบที่นี่เขาก็ยินดีบริการ อิ่มอร่อยกับเมนูหลักกันแล้วก็อย่าลืมสั่งขนมหวานมาลิ้มลองซึ่งมีให้เลือกชิมอยู่มากมาย อย่างเช่น TIRAMISU” ขนมหวานมันสไตล์อิตาเลี่ยน ราคาเพียงถ้วยละ 120 บาท++


       สะดวกกันเมื่อไรก็ขอเชิญแวะเวียนมาเยี่ยมกันได้ ที่ร้าน BAR ITALIA By Gie Gie” จะเปิดบริการกันทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น. และยิ่งถ้าสมัครเป็นสมาชิกของร้านจะได้สิทธิพิเศษรับส่วนลดอีกมากมาย แต่ต้องขอบอกกล่าวกันไว้ล่วงหน้าว่า..ถ้าจะมาใช้บริการกันในช่วงเย็นวันศุกร์-เสาร์ ขอให้โทรศัพท์มาสำรองโต๊ะกันไว้ก่อนเพื่อประกันความผิดหวัง..ที่หมายเลข 0-2102-2302
 
 
 
 

 

Central world

       หลายคนอยากรู้ว่า Central World Plaza (เซ็นทรัลเวิลด์) หรือที่เรียกติดปากว่า Central World ที่ถูกวางเพลิงจน ไฟไหม้ จากเหตุการณ์จราจลนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ประวัติ และ ความเป็นมาของ Central World นั้นน่าสนใจมาก จากครั้งหนึ่งที่ศูนย์การค้าแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (World Trade Center) จนถึงยุคที่เปลี่ยนมือบริหารไปสู่กลุ่ม Central
 
 
ประวัติ ที่มา Central World Plaza เซ็นทรัลเวิลด์
 

ประวัติ ที่มา Central World Plaza (เซ็นทรัลเวิลด์)

     “เซ็นทรัลเวิลด์” เดิมชื่อ “เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์” เป็นโครงการศูนย์การค้า โรงแรม และอาคารสำนักงาน ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ ตัดกับถนนพระราม 1 เป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของเอเชีย และมีพื้นที่ขายมากเป็นอันดับ3ของโลก
เดิมเป็นพื้นที่ของศูนย์การค้าเป็นที่ตั้งเดิมของวังเพชรบูรณ์ วังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ สิ้นพระชนม์ นักธุรกิจญี่ปุ่นได้ขอซื้อที่ดินบริเวณวังเพื่อก่อสร้างห้างไทยไดมารู ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการศูนย์การค้าราชประสงค์ จากนั้น บริษัท วังเพชรบูรณ์ โดยนายอุเทน เตชะไพบูลย์ ได้เช่าที่ดินนี้จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อก่อสร้างห้างสรรพสินค้า
“เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์” เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2525 และเปิดดำเนินการเมื่อ พ.ศ. 2532 ประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าเซ็น (ZEN) และ อิเซตัน (Isetan) เมื่อบริษัท วังเพชรบูรณ์ ประสบปัญหาทางการเงิน ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโรงแรมและอาคารสำนักงานให้แล้วเสร็จ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จึงเปิดโอกาสให้บริษัทอื่นเข้ามาประมูลเป็นผู้บริหารศูนย์การค้า ซึ่งบริษัทที่เสนอตัวเข้ามาคือกลุ่มเซ็นทรัลและเดอะมอลล์
ปัจจุบันโครงการนี้บริหารงานโดย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (CPN) โดยในระยะแรกเป็นการปรับปรุงและต่อเติมอาคารสำนักงาน ที่ทางเจ้าของพื้นที่เดิมได้สร้างไว้แต่ยังไม่แล้วเสร็จ
จากนั้นจึงเริ่มปรับปรุงในส่วนของศูนย์การค้าโดยเปลี่ยนชื่อเป็น “เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า” (Central World Plaza) และสร้าง “เซ็นทรัลเวิลด์สกายวอล์ก” (CentralWorld Skywalk) ทางเชื่อมลอยฟ้าระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีชิดลม และสถานีสยาม โดยความร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
ต่อมาในปี 2549 บริษัทได้มีการปรับปรุงทั้งบริเวณโดยรอบทั้งหมด และเปลี่ยนชื่อศูนย์การค้าเป็น “เซ็นทรัลเวิลด์” โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศูนย์การค้า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550




ประวัติของ Central World เซ็นทรัลเวิลด์
 
 

Central World ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ ใหญ่ติดอันดับโลก

       ด้วยความใหญ่ของเซ็นทรัลเวิลด์ที่มุ่งดึงดูดลูกค้ากว่า 150,000 คนต่อวัน จึงได้ออกแบบให้มีประตูเข้าออกช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ถึง 18 จุด เพิ่มความสะดวกในการเดินเข้าออกนอกจากนี้ยังจัดที่จอดรถถึง 7,000 คัน และถนน 6 เลน (CentralWorld Avenue) รอบช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ เพื่อพักและระบายรถยนต์ที่เข้าออกช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ได้ทางถนนเส้นหลัก 2 สาย คือถนนพระราม 1 และถนนราชดำริ เรามาดูว่า ภายในอาณาจักร Central World นั้นประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆคือส่วนที่เป็นโรงแรม และ Shopping Center

Central World Plaza Shopping Center

        Central World Plaza มีพื้นที่รวม 550,000 ตรม. ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าที่มีสาขาเดียวในไทย 2 ห้าง (เซน และ อิเซตัน) ร้านค้ากว่า 500 ร้าน ประกอบด้วยร้านแฟชั่นแบรนด์เนมที่เป็น แฟลกชิพสโตร์ 35 ร้าน ร้านแฟชั่นแบรนด์เนมที่เปิดใหม่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย 36 ร้าน ร้านแฟลกชิพสโตร์ของร้านค้าปลีกเฉพาะประเภท 6 ร้าน ร้านอาหารกว่า 50 ร้าน โรงภาพยนตร์ 21 โรง และศูนย์โบว์ลิ่ง โซนกิจกรรมและศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็ก ลานกิจกรรมกลางแจ้ง


มารู้จักกับ Central World Plaza เซ็นทรัลเวิลด์
 
 

Centara โรงแรมระดับ 5 ดาว

       พื้นที่ 90,000 ตรม. จำนวน 55 ชั้น – สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2551 จำนวนห้อง 500 ห้อง ศูนย์ประชุม พื้นที่ 17,000 ตรม – สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปลายปี 2549 เป็นหนึ่งในศูนย์ประชุมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ปลูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบไร้เสา อาคารสำนักงาน พื้นที่ 80,000 ตรม. / จำนวน 45 ชั้น – สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว เป็นหนึ่งในอาคารที่มีความทันสมัยที่สุดในประเทศไทย ลานจอดรถในร่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พื้นที่ 287,000 ตรม. รองรับรถยนตร์ได้มากถึง 7,000 คัน

ภายในศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์

       เซ็นทรัลเวิลด์ แบ่งพื้นที่ภายในศูนย์การค้า แบ่งโซนจากเดิม 3 โซน เป็น 7 โซน และ 4 อาคารประกอบ ประกอบด้วย
เอเทรี่ยม ( Atrium) เป็นโซนตกแต่งแบบหรูหรา สถาปัตยกรรมทรงโค้งเหมือนคลื่น “บีคอน”( Beacon) มีลานกว้างรูปเปลือกหอย Marquise เป็นเอกลักษณ์ของโซน
เซ็นทรัลคอร์ท ( Central Court) เป็นจุดเชื่อมต่อของศูนย์การค้า ลักษณะเป็นลานวงกลมใหญ่ จุดเด่นคือ ลิฟต์แก้วแบบพาโนรามา 360 องศา 2 ตัว และ บันไดเลื่อนแบบวนรอบ
แดสเซิล (Dazzle) จุดเด่นคือเป็นที่ตั้งร้านค้าค้าปลีกชั้นนำในโซนเดียว รวมทั้งเป็นที่ตั้งของลิฟต์ทางเชื่อมสู่บางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ อีกด้วย
อีเดน (Eden) จุดเด่นเป็นลานทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้า มีเพดานสูง โทนสีขาวสบายตา และติดตั้งโมบายพลาสติกใสที่จะมีแสงส่อง เสมือนว่าเปลี่ยนสีได้
ฟอรัม ( Forum )จุดเด่นคือเป็นลานที่ออกแบบเพื่องานแฟชั่นโชว์ และมีเวทีไฮดอร์ลิดที่สามารถปรับระดับได้ มีร้านค้าประเภทเสื้อผ้าและแฟชั่น และมีแผงกั้นทางเดินที่เปลี่ยนสีได้
เซ็นเตอร์พ้อยท์ ( Centerpiont )โซนใหม่ล่าสุดของศูนย์การค้า ตั้งอยู่ที่ชั้น 7-8 ในพื้นที่โรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ เดิมซึ่งประกอบไปด้วย Centerpoint Playhouse และ Cyberia DigitalPlayground โรงละครและศูนย์รวมของโลกดิจิตอลแห่งใหม่
ดิออฟฟิศเซส แอทเซ็นทรัลเวิลด์ ( The Offices at Centralworld) อาคารสำนักงานทันสมัย ลิฟท์ความเร็วสูง ระบบคีย์การ์ด
โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ (Centara Grand Hotel) โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว พร้อมภัตตาคารลอยฟ้า และศูนย์แสดงสินค้าและห้องประชุม
เซน เวิลด์ ( Zen World) อาคารที่รวบรวมความบันเทิง อยู่ด้านบนห้างสรรพสินค้าเซน และยังมีร้านอาหารมุมมองพาโนรามา ฟิตเนส อีกมากมาย
อิเซตัน ( Isetan) อาคารที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมเอาไว้ทั้งหมด ที่นำงานประติมากรรมมาเป็นองค์ประกอบในการตกแต่ง เพื่อเชื้อเชิญให้ผู้ที่เดินผ่านไปมาสนใจและมีปฏิสัมพันธ์กับตัวประติมากรรม นับเป็นบทบาทใหม่ของงานศิลปะที่สร้างความสุขสนุกสนานให้กับผู้คนทั่วไปในช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ นอกเหนือจากจรรโลงใจหรือเป็นเพียงสัญลักษณ์ของสถานที่อย่างที่เคยเป็นมา
ซึ่งแต่ละโซนได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงบรรยากาศ และจุดดึงดูดสายตาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ช่วยสร้างบรรยากาศในการช้อปปิ้งที่หลากหลาย และช่วยให้ลูกค้าสามารถแยกความแตกต่างของโซนที่ตัวเองเดินอยู่ได้


ไฟไหม้ Central World เซ็นทรัลเวิลด์
ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ห้าง Central World Plaza (เซ็นทรัลเวิลด์) 19 พฤษภาคม 2553
 
ไฟใหม้ Central World เซ็นทรัลเวิลด์
Central World Plaza on Fire 19 May 2010
 
ภาพเหตุการณ์ ไฟไหม้ Central World Plaza เซ็นทรัลเวิลด์
ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ห้าง Central World Plaza (เซ็นทรัลเวิลด์) จนถล่ม
 
 

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

Siam Paragon

Siam Paragon

      ถ้าหากจะพูดถึงเรื่องของห้างสรรพสินค้าสุดหรู ที่เหล่าดาราเซเลปและไฮโซมาเดินช๊อปปิ้งกัน ก็ไม่ง่ายเลยถ้าจะไม่กล่าวถึง "สยามพารากอน" ห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่ แสงสว่างใจกลางสยามซึ่งเป็นแหล่งของวัยรุ่นซะด้วย เป็นห้างยอดนิยมที่มีทั้งร้านอาหาร Shop แบรนเนมชื่อดัง ฟิทเนส โบลิ่ง คาราโอเกะ และโรงภาพยนตร์ ต่างๆที่มีคุณภาพสูงสุดในประเทศไทย




ถาพจากhttp://www.wikalenda.com


                 สยามพารากอนสร้างขึ้นบริเวณโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลเดิม (เจ้าของที่ดินคือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) ตั้งอยู่ที่ถนนพระรามที่ 1 ติดกับวังสระปทุม เป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างกลุ่มเดอะมอลล์ และ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารศูนย์การค้าเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2548


                 สยามพารากอนเป็นอาคารสูง 8 ชั้น ตัวอาคารจะใช้แก้วตกแต่งเป็นหลัก มีลิฟต์แก้วที่ใช้กระจกทั้งหมดเป็นแห่งแรกของประเทศ(ปัจจุบันได้มีอีกที่หนึ่งคือ เซ็นทรัลเวิลด์) มีจำนวนลิฟต์ทั้งหมด 26 ตัว แบ่งเป็นลิฟต์แก้วแบบใช้กระจกทั้งหมด 2 ตัว ตั้งอยู่ที่โซน The Jewel (ฝั่งติดกับสยามเซนเตอร์) ลิฟต์แก้วแบบธรรมดา 2 ตัว ตั้งอยู่ที่โซน Star Dome (ฝั่งติดกับวัดปทุมวนาราม) และลิฟต์ธรรมดา 22 ตัว บันไดเลื่อน 85 ตัว ทางเลื่อน 4 ตัว มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 500,000 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนมากกว่า 15,000 ล้านบาท
                  

                จุดที่เด่นของสยามพารากอน ซึ่งมักเป็นจุดนัดพบนั่นก็คือ ลานน้ำพุหน้าทางเข้าประตูกระจกสยามพารากอน ซึ่งสวยงานหรูหรา มีระดับ ตอนกลางคืนมีแสงสีสวยงาม และมักจะตกแต่งตามเทศกาลต่างๆในเวลานั้น เช่น ถ้าเป็นช่วงChristmasก็จะมีต้น Chritstmas ขนาดใหญ่ ภายในประตูกระจก ก็จะเป็นสวนน้ำพุ ที่สวยงาม ซึ่งมีShop แบรนเนมชื่อดังอยู่บริเวณนั้น เช่น Hermes ,Louis Vuitton เป็นต้น และเป็นลานจัดการแสดงต่างๆไม่ว่าจะแสดงสินค้า คอนเสิร์ต การแสดงการแสดงต่างๆเป็นต้น


ลานน้ำพุ ที่มีไฟสวยงาม


Prada Shop

Louis Vuitton Shop



Hermes Shop


             การจะเดินทางมาสยามพารากอนนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะมีทางเชื่อมราหว่างสถานีรถไฟฟ้าสยาม กับตัวห้าง ถึงรถจะติดแค่ไหน ก็ยังมีทางเลือกที่สะดวกรวดเร็วทันใจไม่ต้องเสียน้ำมันด้วย


            สำหรับโรงภาพยนตร์แล้ว ก็จะมี Paragon Cineplex โรงหนังคุณภาพสูง มีทั้งระบบ Digital 3D
และโรง IMAX และยังมีโรงภาพยนตร์ระบบ 4DX ซึ่งเป็น 4Dแห่งแรกของประเทศไทย ทั้งนี้ ยังมโรงหนังที่มีห้องใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย นั่นก็คือ โรงหนัง Siam Pavalai ซึ่งมีที่นั่งถึง2ชั้น

Siam Pavalai  โรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

IMAX โรงภาพยนตร์คุณภาพสูง

Paragon Cineplex
     

               อีหนึ่งความบันเทิงนั่นก็คือ Blu O ซึ่งมีทั้งโบลิ่ง และคาราโอเกะ เหนือระดับ ซึ่งมีดนตรีไพเราะ และแสงสีที่สวยงาม ทั้งนี้ยังมีห้อง Platinum ซึ่งเป็นห้องที่มีทั้งโบลิ่งและคาราโอเกะ เป็นห้องส่วนตัวที่หรูหราและมีคุณภาพ มีเลนโบลิ่งถึง4เลนด้วยกัน สามารถรับคนได้ถึง30คนด้วย  

ห้อง Platinum มีเลนโบลิ่งด้วยกัน4เลน และยังมีคาราโอเกะ

Blu O








            
สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ต้นฉบับ.

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555







ชื่อ นายสิทธิพัทธ์ วณิชพันธุ์ (ปลื้ม)

เกิดวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1992


ศาสนาคริสต์

จบการศึกษาจาก โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

ปัจจุบัน ศึกษาที่ มหาวิทยาลัยรังสิต คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และวีดิทัศน์

ชอบทำอาหาร ไม่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง

ชอบฟังเพลงสากล ไม่ชอบเพลงไทย

งานอดิเรกคือ แต่งภาพทำ9Gag ล้อเลียนเพื่อน คนรอบข้าง และสังคมที่เป็นอยู่นี้ เพื่อความบันเทิงเท่านั้น